บึงกาฬ เดิมเป็น อำเภอไชยบุรี ในเขตการปกครองของ จังหวัดนครพนม ซึ่งมีที่ว่าการอำเภอ ตั้งอยู่ที่บริเวณปากน้ำสงคราม ไชยบุรี เดิมชื่อ "เมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรี" อยู่ในเขตการปกครองของเมืองเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของไทยในสมัยนั้น ตามแผ่นศิลาจารึกที่วัดไตรภูมินั้น ประวัติของเมืองไชยบุรี ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2351 หัวหน้าชาวไทยญ้อชื่อ ท้าวหม้อและนางสุนันทา ได้พาบุตรและบ่าวไพร่ อพยพโยกย้ายผู้คนพลเมืองจากเมืองหงสา (ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ตอนเหนือเมืองหลวงพระบาง) อพยพลงมาตามแม่น้ำโขง ลงมาตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณปากน้ำสงครามในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้รวบรวมผู้คนมาสร้างเมืองใหม่ขึ้น และตั้งชื่อว่า “เมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรี” ขึ้นตรงต่อเมืองเวียงจันทน์ เจ้าผู้ครองนครเวียงจันทน์ ได้ตั้งให้ท้าวหม้อเป็นพระยาหงสาวดี และท้าวเล็กน้องชายท้าวหม้อเป็นอุปราชวังหน้า ท้าวหม้อมีบุตรชายคนโตชื่อท้าวโสม

พ.ศ. 2357 ได้สร้าง"วัดศรีสุนันทามหาอาราม"ต่อมาเรียกว่า"วัดไตรภูมิ" ซึ่งได้พบแผ่นศิลาจารึกในวัดนี้แปลออกมาได้ความว่า "พระศาสนาพุทธเจ้า ล่วงลับไปแล้ว 2357 พรรษา พระเจ้าหงสาวดีทั้งสองพี่น้องได้มาตั้งเมืองใหม่ในที่นี้ให้ชื่อว่า "เมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรี" ในปีจอ ฉศก ตรงกับปีกาบเล็ด ในเดือน 4 แรม 11 ค่ำ วันอังคาร ภายนอกมีอาญาเจ้าวังหน้าเสนาอำมาตย์สิบร้อยน้อยใหญ่ ภายในมีเจ้าครูพุทธา และเจ้าชาดวงแก้ว เจ้าชาบา เจ้าสีธัมมา เจ้าสมเด็จพุทธา และพระสงฆ์สามเณรทุกพระองค์ พร้อมกันมักใคร่ตั้งใจไว้ยังพุทธศาสนา จึงให้นามวัดนี้ว่า "วัดศรีสุนันทามหาอาราม" ตามพุทธบัญญัติสมเด็จพระองค์เจ้า ซึ่งมีจิตตั้งไว้ในพุทธศาสนาสำเร็จในปีกดสี เดือน 5 เพ็ญวันจันทร์ มื้อฮวงมด ขอให้ได้ตามคำมัก คำปรารถนาแห่งปวงข้าทั้งหลาย เทอญ"


ชื่อเดิมตามศิลาจารึกว่า "เมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรี" นั้นหมายถึงเมืองที่มีชัยชนะและอุดมสมบูรณ์ ที่ได้ชื่ออย่างนี้ก็เพราะว่า ในสมัยที่ตั้งเมืองนั้นมีการทำสงครามระหว่างกรุงเทพฯ - เมืองเวียงจันทน์ - ญวนอยู่บ่อย ๆ สำหรับเรื่องความอุดมสมบูรณ์นั้นเล่ากันว่า ไชยบุรีเป็นเมืองที่ "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" อย่างอุดมสมบูรณ์เพราะตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงและแม่น้ำสงครามจึงจับปลา ได้อย่างสะดวก และสมัยเมื่อ 40-50 ปีที่ผ่านมา ปลาในแม่น้ำโขงแม่น้ำสงครามมีมาก ขนาดที่เพียงแต่พายเรือเลียบไปตาม ริมฝั่งน้ำในเวลา ประมาณ 1 ทุ่มเป็นต้นไปโดยพายไปเบา ๆ พอไปถึงจุดใดจุดหนึ่งแล้วก็กระทึบเรือ หรือขย่มเรือให้มีเสียงดังก็มีปลา (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปลาสร้อย) ตกใจแล้วกระโดดเข้าไปในเรือเองเป็นจำนวนมาก ทำอย่างนี้ไปประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้นก็ได้ปลาเหลือใช้แล้ว แจกญาติพี่น้อง แต่ภายหลังมาเปลี่ยนเป็น "ไชยบุรี" นั้นก็เพราะว่า ค่านิยมในเรื่องภาษา หรือการใช้ภาษาในท้องถิ่นนี้ ไม่ชอบพูดคำยาว ๆ เช่น "เมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรี" ก็ใช้เพียงคำ หัว กับ ท้าย ส่วนกลางตัด ดังนั้นจึงเหลือเพียง "ไชยบุรี" เท่านั้น เพราะเรียกง่ายและจำง่าย

ตำนานเล่าขานว่าไชยบุรีไม่ได้เป็นเมืองของผู้ไทยโดยแท้ แต่มีตำนานสอดคล้องกับชาวผู้ไทย ไชยบุรีเดิมเป็นเมืองปากน้ำศรีสงครามตามพงศาวดารรัชกาลที่ 3 (พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2505 เล่ม 2 หน้า 179) ว่าได้รับการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมยกขึ้นเป็นเมืองในสมัยรัชกาลที่ 3 การยกขึ้นเป็นเมืองคราวนี้สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเล่าว่า มีเรื่องประหลาดที่หม่อมฉันไปทราบความในท้องถิ่นว่า ".....ดั้งเดิมราษฎรเมืองท่าอุเทนกับเมืองไชยบุรี ซึ่งอยู่ในแนวลำน้ำโขงติดต่อกันอพยพหนีไปอยู่ทางฝั่งซ้ายใกล้แดนญวน พวกชาวเมืองไชยบุรีกลับมาก่อนเห็นว่าที่นาเมืองท่าอุเทนดีจึงพากันไปตั้งอยู่ที่เมืองท่าอุเทน เมื่อชาวเมืองท่าอุเทนกลับมาพบเห็นว่าบ้านเดิมของตนกลับเป็นของคนอื่นแล้ว จึงพากันไปตั้งอยู่เมืองไชยบุรี ราษฎรก็ไขว้เมืองกันมาตั้งแต่นั้น.....” (สาส์นสมเด็จ ฉบับโรงพิมพ์คุรุสภา พ.ศ. 2504 เล่ม 6 หน้า 297)


ตามหนังสือฝั่งขวาแม่น้ำโขงกล่าวว่าได้โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ยกบ้านปากน้ำสงครามขึ้นเป็นเมืองไชยบุรี เมื่อ พ.ศ. 2373 ในสมัยรัชกาลที่ 3 เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ ท้าวหม้อกลัวภัยจึงอพยพพาครอบครัวบ่าวไพร่หนีไปเมืองปุงลิง เมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรีจึงเป็นเมืองร้าง เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งพระยาราชสุภาวดี (สิงห์) แม่ทัพไทยยกทัพมาปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ครั้งที่ 2 ได้จัดราชการหัวเมืองภาคอีสานด้วย (พ.ศ. 2369-2371)โดยสั่งให้พระยาวิชิตสงครามตั้งทัพอยู่ที่เมืองนครพนม ให้ราชวงศ์ (แสน) จากเมืองเขมราฐ เป็นนายด่านตั้งกองรักษาปากน้ำสงคราม คุมไพร่พลไปตั้งอยู่ "เมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรี" ซึ่งเป็นเมืองร้าง โดยมีท้าวไชย กรมการเมืองยโสธร (ท้าวไชย บุตรอุปฮาด เมืองอุบลราชธานี) ท้าวขัตติยะ กรมการเมืองอุบลราชธานีพาไพร่พลเมืองยโสธรและเมืองอุบลราชธานีมาเป็นกำลังรักษาด่านด้วย) เมื่อปราบขบถจนราบคาบแล้ว ต่อมาเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)จึงได้ทูลขอรัชกาลที่ 3ปูนบำเหน็จ ได้มีท้องตราราชสีห์แต่งตั้งให้ ราชวงศ์ (แสน) เป็น พระยาไชยราชวงษา ปกครองเมืองไชยบุรี (เมืองไชยสุทธิ์อุตมบุรี) ซึ่งเป็นต้นตระกูล “เสนจันทร์ฒิไชย” ในปัจจุบัน

ใน พ.ศ. 2537 นายสุเมธ พรมพันห่าว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเสรีธรรม จังหวัดหนองคาย เสนอให้จัดตั้งจังหวัดบึงกาฬขึ้น โดยกำหนดจะแยกพื้นที่อำเภอบึงกาฬ อำเภอปากคาด อำเภอโซ่พิสัย อำเภอพรเจริญ อำเภอเซกา อำเภอบึงโขงหลง อำเภอศรีวิไล และอำเภอบุ่งคล้า ออกจากจังหวัดหนองคาย รวมเป็นท้องที่ทั้งหมด 4,305 ตารางกิโลเมตร[8] และมีประชากรประมาณ 390,000 คน[9] อย่างไรก็ดี กระทรวงมหาดไทย แจ้งผลการพิจารณาว่า ยังไม่มีแผนที่จะยกฐานะอำเภอบึงกาฬขึ้นเป็นจังหวัด เพราะการจัดตั้งจังหวัดใหม่เป็นการเพิ่มภาระด้านงบประมาณ อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มกำลังคนภาครัฐ ซึ่งจะขัดกับมติคณะรัฐมนตรี[10]

โครงการร้างมาเกือบ 20 ปี กระทั่ง พ.ศ. 2553 นายเทวฤทธิ์ นิกรเทศ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดหนองคาย ได้ยื่นกระทู้สดถามนายกรัฐมนตรีเรื่องการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ(ซึ่งต่อมานายเทวฤทธิ์ นิกรเทศ ได้เสนอ พระราชบัญญัติจังหวัดบึงกาฬเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร และดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมาธิการพิจารณา พรบ.จังหวัดบึงกาฬด้วย) กระทรวงมหาดไทยจึงได้นำเรื่องการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ เสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง เพื่อยก "ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. ..."[9] ผลการสำรวจความเห็นของประชาชนจังหวัดหนองคายในคราวเดียวกัน ปรากฏว่า ร้อยละ 98.83 เห็นด้วยกับการจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ [9] ต่อมา วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้จัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ[11][12] โดยให้เหตุผลว่า[13] เป็นไปตามหลักเกณฑ์ในเรื่องอำเภอ จำนวนประชากร และลักษณะพิเศษของจังหวัด อีกทั้งยังเป็นผลดีต่อการให้บริการแก่ประชาชน, จังหวัดหนองคายเป็นพื้นที่แนวยาวทอดตามแม่น้ำโขง จึงมีผลต่อการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน, จังหวัดหนองบัวลำภูและจังหวัดอำนาจเจริญที่เคยตั้งขึ้นใหม่ก็มีเนื้อที่น้อยกว่าหลักเกณฑ์มติคณะรัฐมนตรีเช่นกัน, จังหวัดที่ตั้งขึ้นใหม่ไม่ให้บริการสาธารณะซ้ำซ้อนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น บุคลากรจำนวน 439 อัตรา สามารถกระจายกันในส่วนราชการได้ ไม่มีผลกระทบมาก ต่อมารัฐสภาได้มีมติเห็นชอบ

ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. ..." เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554[14] นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีจึงถวายร่างพระราชบัญญัติให้พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงลงพระปรมาภิไธย โดยทรงลงเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 นำประกาศเป็น "พระราชบัญญัติตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. 2554" ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2554 และใช้บังคับในวันรุ่งขึ้น[4] เหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติ มีว่า "...เนื่องจากจังหวัดหนองคายเป็นจังหวัดที่มีท้องที่ติดชายแดน และมีลักษณะภูมิประเทศเป็นแนวยาว ทำให้การติดต่อระหว่างอำเภอที่ห่างไกลและจังหวัดเป็นไปด้วยความยากลำบาก และใช้ระยะเวลาในการเดินทางมากเกินควร ดังนั้น เพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบการปกครอง การรักษาความมั่นคง และการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในท้องที่ สมควรแยกอำเภอบึงกาฬ อำเภอเซกา อำเภอโซ่พิสัย อำเภอบุ่งคล้า อำเภอบึงโขงหลง อำเภอปากคาด อำเภอพรเจริญ และอำเภอศรีวิไล จังหวัดหนองคาย ออกจากการปกครองของจังหวัดหนองคาย รวมตั้งขึ้นเป็นจังหวัดบึงกาฬ จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้" นอกจากมาตรา 3 ของพระราชบัญญัติดังกล่าว ที่ให้จัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ โดยมีองค์ประกอบเป็นอำเภอทั้งแปดข้างต้นแล้ว มาตรา 4 ยังให้เปลี่ยนชื่อ "อำเภอบึงกาฬ" เป็น "อำเภอเมืองบึงกาฬ" ด้วย เมื่อวันที่ 22-25 มีนาคม พ.ศ. 2554 ได้มีการจัดงานฉลองจังหวัดบึงกาฬอย่างยิ่งใหญ่ โดยมี นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธี[15]

อาณาเขต

บึงกาฬเป็นจังหวัดที่มีเขตพื้นที่ติดต่อกับประเทศลาว โดยมีแม่น้ำโขงเป็นแนวพรมแดน ทิศเหนือ ติดต่อกับแขวงบอลิคำไซ ประเทศลาว ทิศตะวันออก ติดต่อกับแขวงบอลิคำไซ ประเทศลาว และจังหวัดนครพนม ทิศใต้ ติดต่อกับจังหวัดสกลนคร ทิศตะวันตก ติดต่อกับแขวงบอลิคำไซ ประเทศลาว และจังหวัดหนองคาย

สภาพภูมิประเทศ

จังหวัดบึงกาฬเป็นจังหวัดที่มีสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์ แวดล้อมไปด้วยภูเขาและน้ำตกที่สวยงาม เช่น น้ำตกเจ็ดสี, น้ำตกตากชะแนน ที่อยู่ภายในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าภูวัว พื้นที่ส่วนใหญ่ในจังหวัดเป็นที่ราบลุ่ม

ภูมิอากาศที่จังหวัดบึงกาฬค่อนข้างดี เพราะได้อิทธิพลจากแม่น้ำโขงทำให้อากาศไม่ร้อนมากในช่วงถดูร้อน ในฤดูหนาวอากาศดีเหมาะแก่การท่องเที่ยวและพักผ่อนโดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญจังหวัดบึงกาฬมักจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาจองห้องพักต่อเนื่อง

การปกครองส่วนท้องถิ่น

องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬ เทศบาลเมือง 1 แห่ง ได้แก่ เทศบาลเมืองบึงกาฬ เทศบาลตำบล 17 แห่ง ได้แก่ เทศบาลตำบลโคกก่อง, เทศบาลตำบลไคสี, เทศบาลตำบลโนนสว่าง, เทศบาลตำบลหนองเลิง, เทศบาลตำบลหอคำ (อำเภอเมืองบึงกาฬ); เทศบาลตำบลซาง, เทศบาลตำบลท่าสะอาด, เทศบาลตำบลป่งไฮ, เทศบาลตำบลศรีพนา, (อำเภอเซกา); เทศบาลตำบลโซ่พิสัย (อำเภอโซ่พิสัย); เทศบาลตำบลบึงโขงหลง, เทศบาลตำบลบึงงาม (อำเภอบึงโขงหลง); เทศบาลตำบลปากคาด (อำเภอปากคาด); เทศบาลตำบลดอนหญ้านาง, เทศบาลตำบลพรเจริญ, เทศบาลตำบลศรีสำราญ (อำเภอพรเจริญ) และเทศบาลตำบลศรีวิไล (อำเภอศรีวิไล) องค์การบริหารส่วนตำบล 39 แห่ง