สุดปลายอีสาน จังหวัดที่ 77 ของประเทศไทย บึงกาฬ จังหวัดเล็กๆ ที่กำลังโด่งดั่งในเรื่องความเชื่อ ความศรัทธาในเรื่องของพญานาค ที่ถ้ำนาคา เกาะดอนโพธิ์ ทำให้นักท่องเที่ยวต่างหลั่งไกลมาเที่ยวเยอะขึ้น อีกทั้งยังมีสถานที่สวยงามทางธรรมชาติอย่าง หินสามวาฬ และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างภูทอก ให้เที่ยวชมและยังมีสถานที่สวยอีกหลายแห่ง ไปด้วยกันมาแนะนำ 15 พิกัดเด่น ที่เที่ยวเด่นบึงกาฬ
ภูทอก ภาษาอีสานแปลว่าภูเขาที่โดดเดี่ยว ตั้งอยู่ที่บ้านคำแคน ตำบลนาสะแบง เป็นภูเขาหินทรายมองเห็นได้แต่ไกล ประกอบด้วยภูทอกใหญ่และภูทอกน้อย บริเวณนี้เคยเป็นป่าทึบ มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มากมาย พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ พระปฏิบัติกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ ได้เข้ามาจัดตั้งเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม เนื่องจากเป็นสถานที่อันเงียบสงบ
ภูทอกน้อยเป็นที่ตั้งของวัดเจติยาคีรีวิหาร (วัดภูทอก) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นเดินเท้าขึ้นสู่ยอดภูทอก โดยต้องเดินไปตามสะพานไม้เวียนรอบเขาสูงชันจนถึงยอด สะพานไม้สร้างขึ้นด้วยแรงศรัทธาของพระ สามเณร และชาวบ้าน เริ่มก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2512 ใช้เวลานานถึง 5 ปี บันไดที่ขึ้นสู่ยอดภูทอกนี้ เปรียบเสมือนเส้นทางธรรมที่น้อมนำสัตบุรุษให้หลุดพ้นด้วยความเพียรพยายามและมุ่งมั่น ภูทอกยังเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมและปฏิบัติศาสนกิจของชุมชน บันไดทางขึ้นภูทอกแบ่งออกเป็น 7 ชั้น ดังนี้ ชั้นที่ 1-2 เป็นบันไดสู่ชั้นที่ 3 ซึ่งเริ่มเป็นสะพานไม้เวียนรอบเขา สภาพเป็นป่า มีโขดหิน ลานหิน ชั้นที่ 3 มีทางแยกสองทาง ทางซ้ายมือเป็นทางลัดไปสู่ชั้นที่ 5 แต่เป็นทางชันมาก ต้องผ่านอุโมงค์มืด ทางขวามือเป็นทางขึ้นสู่ชั้นที่ 4 ชั้นที่ 4 เป็นสะพานไม้เวียนรอบเขา มองไปเบื้องล่างจะเห็นเนินเขาเตี้ย ๆ สลับกัน เรียกว่า “ดงชมพู” บนชั้นที่ 4 นี้ เป็นที่พักของแม่ชี รอบชั้นมีระยะทางเดินประมาณ 400 เมตร มีที่พักระหว่างทางเป็นระยะ ๆ ชั้นที่ 5 หรือชั้นกลาง เป็นชั้นที่สำคัญที่สุด เพราะมีศาลาพระพุทธรูปให้สักการะ มีกุฏิที่อาศัยของพระสงฆ์ แทรกตามช่องหินที่เป็นทางเดิน และมีถ้ำอยู่หลายถ้ำ บนชั้นนี้มีสะพานหินธรรมชาติทอดสู่พุทธวิหาร อันเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ มีลักษณะแปลกคือ เป็นหินแยกตัวออกมาจากหินก้อนใหญ่ แต่ไม่ตกลงมา เพราะตั้งอยู่อย่างได้ฉากกับพื้นโลกพอดี ปัจจุบันมีสะพานไม้เชื่อมต่อระหว่างสะพานหินกับพุทธวิหาร มองออกไปจะเห็นแนวของภูทอกใหญ่อย่างชัดเจน และมีบันไดเวียนขึ้นสู่ชั้นที่ 6 ซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายของบันไดเวียนรอบเขา ชั้นที่ 6 ถือเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุด ตลอดทางเดินจะเป็นหน้าผายื่นออกมา ทำให้ในบางครั้งเวลาเดินต้องเบี่ยงตัวออกมาเล็กน้อย โดยแต่ละจุดมีชื่อของหน้าผาที่แตกต่างกัน เช่น ผาเทพนิมิต ผาหัวช้าง และผาเทพสถิต ในช่วงฤดูหนาวจะมีทะเลหมอกลอยอยู่รอบ ๆ ยอดภู จากชั้นที่ 6 สู่ชั้นที่ 7 เป็นสะพานไม้เวียนรอบเขายาว 400 เมตร เกาะติดอยู่ริมหน้าผาสูงชัน ดูน่าหวาดเสียวอันตราย สิ่งศักดิ์สิทธิ์และจุดน่าชมของชั้นนี้คือปากทางเข้าเมืองพญานาค ซึ่งอยู่หลังพระปางนาคปรก มีจุดให้สังเกตคือ มีรอยสีขาวขูดติดกับหินปูน ซึ่งชาวบ้านถือว่าเป็นรอยถลอกที่เกิดจากท้องพญานาคสัมผัสกับหินและมีบ่อน้ำเล็ก ๆ มีน้ำขังตลอดปีอยู่ในบริเวณเดียวกัน ชั้นที่ 7 มีบันไดไม้พาดขึ้นไป และจะเจอทางแยกสองทางเพื่อขึ้นไปบนดาดฟ้า ทางแรกเป็นทางชัน ต้องเกาะเกี่ยวกิ่งไม้และรากไม้ เดินค่อนข้างลำบาก ควรใช้อีกทางหนึ่งซึ่งเป็นทางอ้อม โดยเดินเวียนไปทางขวามือ แต่ก็จะมาบรรจบกันที่ด้านบนชั้น 7 หรือดาดฟ้า ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าโปร่ง มีเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่
หินสามวาฬ ตั้งอยู่ในพื้นที่ภูสิงห์ หรือ เขตป่าสงวนแห่งชาติป่าดงดิบกะลา ป่าภูสิงห์ และป่าดงสีชมพู บ้านโนนไทรทอง อำเภอเมืองบึงกาฬ ครอบคลุมเนื้อที่ประมาณ 12,000 ไร่ ซึ่งอยู่ในความดูแลของกรมป่าไม้ แม้ว่าสภาพพื้นที่เดิมของภูสิงห์นั้นเป็นป่าเสื่อมโทรม ทว่าภายหลังจากที่ได้มีการฟื้นฟูป่าปลูกเมื่อปี พ.ศ. 2549 ก็ได้ฟื้นคืนสภาพเป็นป่าที่สมบูรณ์ขึ้น เป็นแหล่งพันธุ์ไม้สำคัญๆ หลายชนิด เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติ รวมถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศหินสามวาฬแห่งนี้
หินสามวาฬ ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของจังหวัดบึงกาฬ ด้วยลักษณะที่โดดเด่นคือเป็นกลุ่มภูเขาหินทรายขนาดมหึมาสามก้อนอายุเก่าแก่ราว 75 ล้านปียื่นออกมาจากแง่งผา กลุ่มหินเหล่านี้เกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก กระบวนการกัดกร่อนของหินทราย และอีกหลายปัจจัยจากธรรมชาติ จนเกิดเป็นหน้าผาลักษณะแปลกตา มองจากมุมสูงดูคล้ายปลาวาฬสามตัว พ่อ แม่ ลูก กำลังแหวกว่ายอยู่กลางผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ อันเป็นที่มาของชื่อ “หินสามวาฬ” จุดชมวิวที่สวยงามโดดเด่น คือ วาฬพ่อ โดยเฉพาะในช่วงพระอาทิตย์ขึ้น เรียกได้ว่าเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าที่สวยงามของบึงกาฬ นักท่องเที่ยวสามารถยืนชมทัศนียภาพของป่าภูวัว ห้วยบังบาตร แก่งสะดอก หาดทรายแม่น้ำโขง รวมถึงภูเขาเมืองปากกระดิ่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวได้ โดยช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการมาเที่ยวหินสามวาฬคือช่วงเวลาเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นนั่นเอง สำหรับใครที่ต้องการภาพสวยๆ แนะนำให้ยื่นอยู่หินวาฬแม่ (ซ้ายสุด) แล้วให้ช่างภาพถ่ายจากบริเวณหินวาฬพ่อ (หินกลาง) จะได้ภาพผาหินขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายวาฬ ทั้งนี้หินแต่ละก้อนนั้นสามารถรองรับการขึ้นของนักท่องเที่ยวได้ไม่เกินครั้งละ 50 คนเท่านั้น จุดโดดเด่นของภูสิงห์ไม่ได้มีแค่หินสามวาฬเท่านั้น ทว่ายังมีจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจรวมทั้งหมด 8 แห่งด้วยกันที่เปิดให้ชมความสวยงามของธรรมชาติ ได้แก่ ลานธรรม กำแพงภูสิงห์ ถ้ำใหญ่ ชุดชมวิวถ้ำฤๅษี หินหัวช้าง จุดชมวิวหินช้าง ประตูสวรรค์ที่มีลักษณะชั้นหินทรายคล้ายๆ ถ้ำนาคา และส้างร้อยบ่อ ที่เป็นหลุมเป็นบ่อ ถูกกัดกร่อน ลักษณะคล้ายๆ สามพันโบก ทั้งนี้การท่องเที่ยวภายในบริเวณพื้นที่ของภูสิงห์ นักท่องเที่ยวจะต้องจอดรถไว้บริเวณที่กำหนด ไม่สามารถนำรถขึ้นไปได้ โดยจะมีอาสาสมัครป่าไม้ภูสิงห์เป็นผู้ขับรถกระบะโฟร์วีลนำเที่ยว เพื่อความปลอดภัยของผู้ที่เดินทางมาเที่ยวชม รถมีให้บริการตลอดทั้งวันตั้งแต่ตีห้าครึ่งถึงห้าโมงเย็น ราคาไป-กลับคันละ 500 บาท นักท่องเที่ยวสามารถติดต่อได้ที่ทำการภูสิงห์
ถ้ำนาคา เป็นถ้ำที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ อุทยานแห่งชาติภูลังกา อำเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึงกาฬ รอยต่อระหว่างจังหวัดบึงกาฬกับนครพนม ภายในถ้ำจะพบกับหิน ที่มีรูปร่างคล้ายกับ งูยักษ์ หรือ ลำตัวของพญานาค มีลักษณะเหมือน เกล็ดของงูขนาดใหญ่ ซึ่งในทางธรณีวิทยา เกิดจากหินบนพื้นผิวโลกผ่านการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิร้อนเย็นสลับกัน กระบวนการทางกายภาพเกิดการผุพัง ปริแตกตามพื้นผิวโดยรอบหิน เรียกว่า ซันแครก (sun crack)ตามคติชาวบ้านหรือความเชื่อในท้องถิ่นบางส่วนเชื่อว่า พญานาค ที่ชาวบ้านเรียกว่า ปู่อือลือ ถูกสาปให้ร่างกลายเป็นหินติดอยู่ในถ้ำแห่งนี้ ชาวบ้านมีความเชื่อที่ว่า ถ้ำนาคา คือ พญานาค หรือ งูยักษ์ ที่ถูกสาปให้กลายเป็นหินนั่นเอง ด้วยสาเหตุที่ว่า บริวารของพญานาค ผู้ครองเมืองบาดาล ไปมีสัมพันธ์สวาทกับมนุษย์ และเมืองบาดาลที่พญานาคและบริวาร อาศัยอยู่ก็คือ บึงโขงหลง ในจังหวัดบึงกาฬปัจจุบัน โดยตำนานเล่าขานว่าแต่เดิมนั้นปู่อือลือ เป็นเทพเจ้าอยู่บนสรวงสวรรค์ชั้นฟ้า จากนั้นก็ถูกสาปลงมาให้เป็นพญานาค ปกครองอยู่ที่เมืองบาดาลที่บึงโขงหลง หรือ จ.บึงกาฬ ซึ่งมีทั้งพญานาคและมนุษย์ที่อาศัยอยู่ที่เมืองบาดาลนี้ ต่อมาผู้คนในเมืองบาดาล ทั้งมนุษย์และพญานาค เกิดกิเลสสมสู่ชอบคอกันเอง เมื่อปู่อือลือพญานาคทราบเรื่อง ก็เกิดความโมโหให้กับบริวาร ที่ไปรักใครกับมนุษย์ จากนั้นจึงสาปให้บริวารกลายเป็นหินอยู่ในถ้ำ โดยบริวารที่ถูกสาปนั้นก็มีอยู่ทั่วเมืองบึงกาฬ และมีอยู่หลายที่เพื่อให้ปกป้องมนุษย์และเป็นสิ่งศักกสิทธิ์ที่คนกำลังให้ความนิยมและความสำคัญถึงความอัศจรรย์ของถ้ำนาคาอย่างมากในปัจจุบันภายในถ้ำที่มีลักษณะผนังคล้าย เกล็ดของพญานาค กำลังนอนขดตัวอยู่นั่นแสดงว่า เราได้มาถึงถ้ำนาคากันแล้ว อีกหนึ่งจุดเด่นที่สำคัญนั่นก็คือ เศียรของพญานาค มีลักษณะเป็นหินขนาดใหญ่สีน้ำตาลมีเกล็ดและรูปร่างคล้ายเศียรของพญานาคเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมากราบไว้บูชาเพื่อขอโชค ขอลาภ เสริมความเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิต โดยสถานที่แห่งนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจึงทำให้ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวต่างพากันมาชื่นชมความมหัศจรรย์ของธรรมชาติและขอพรที่ถ้ำนาคาแห่งนี้ตามความเชื่อโบราณว่าที่แห่งนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของพญานาคอยู่ร่วมกันกับมนุษย์คอยปกป้องรักษาไม่ให้เกิดอันตราย เรียกได้ว่าว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องเดินทางมาสัมผัสด้วยตัวเองให้ได้สักครั้งในชีวิตเลย
พิพิธภัณฑ์มีชีวิต จังหวัดบึงกาฬ ก่อตั้งโดยคุณสุทธิพงษ์ สุริยะ(ขาบ) ฟู้ดสไตลิสต์ชื่อดัง ปัจจุบันเป็นเจ้าของ KARB STUDIO บริษัทให้คำปรึกษาและออกแบบสร้างภาพลักษณ์ให้ธุรกิจอาหารและสินค้าการเกษตร คุณสุริยะที่มีถิ่นฐานบ้านเกิดในอำเภอโซ่พิสัย จังหวัดบึงกาฬ และมีความมุ่งมั่นที่ต้องการกลับไปพัฒนาบ้านเกิด ด้วยความรู้และประสบการณ์ทำงานที่สะสมมาค่อนชีวิตในเมืองกรุง เขาบอกเล่าที่มาของพิพิธภัณฑ์ในหนังสือ “Life Community Museum พิพิธภัณฑ์ชุมชนมีชีวิต จังหวัดบึงกาฬ” ไว้ว่า “จวบจนเมื่อปี พ.ศ. 2560 คุณแม่ของผมได้จากไปแบบกระทันหัน การจากไปของคนที่เราเคารพรัก ก็ทำให้เข้าใจอะไรหลายอย่างในชีวิต...จนกระทั่งวันหนึ่งบ่ายๆ ใต้ต้นไม้สองพ่อลูกได้นั่งคุยกัน ผมอยากจะนำบ้านไม้อีสานเก่าแก่ที่ครอบครัวอาศัยอยู่มาปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์ของชุมชน เปิดเป็นศูนย์เรียนรู้ เนื่องจากบ้านไม้ทรงอีสานนับวันจะหายาก”
สำหรับเงินงบประมาณในการทำงาน เขาบอกเล่าในfbของพิพิธภัณฑ์ไว้อย่างน่าสนใจว่า “ผู้ประสงค์ดีมักจะถามและเอาไปพูดว่าได้เงินมาจากไหน มาสร้างอะไรมากมาย คำตอบคือ 90% มาจากทุนส่วนตัว และที่เหลือคือจากผู้ให้การสนับสนุนที่รักและเคารพนับถือกัน อ้าว....แล้วไม่ไปขอเงินจากหน่วยงานราชการเหรอ อยากบอกว่า ทำจดหมายจนเหนื่อย และหน่วยงานเอกชนหละ ก็คุยจนนับครั้งไม่ถ้วน งานแบบนี้ต้องได้ลงมือทำ ถึงจะเข้าใจ” เขาให้เหตุผลว่าที่ตั้งชื่อพิพิธภัณฑ์แบบนี้ เพราะคุณพ่อของเขายังพักอาศัยอยู่ชั้นล่าง แต่ชั้นบนได้ปรับเป็นพิพิธภัณฑ์ อีกทั้งอยู่ในท่ามกลางชุมชนซึ่งคุ้นเคยกันดี และมีพื้นที่โดยรอบบริเวณประมาณ 3 ไร่ ซึ่งบทบาทและหน้าที่แตกต่างกันออกไป คือ ส่วนแรก “อาคารพิพิธภัณฑ์” เป็นเรือนไม้อีสานเก่าแก่ อายุกว่า 60 ปี ที่ค่อนข้างหาชมได้ยากในปัจจุบัน เขาต้องการอนุรักษ์ให้ลูกหลานชาวอีสานได้ศึกษาค้นคว้า การจัดแสดงภายใน คุณสุทธิพงษ์ใช้ความรู้เรื่องดีไซน์ของตนเองมาใช้อย่างเต็มที่ ทำให้เรือนไม้ดูร่วมสมัยมากขึ้น ทั้งนี้ลักษณะทั่วไปของบ้านอีสานคือ การมีระเบียงกว้างสำรวจทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว เมื่อเปิดประตูเข้าไปในบ้าน จะมีห้องโถงกลางใหญ่ และมีห้องปีกซ้ายและขวา แต่ละห้องประดับประดาด้วยภาพขาวดำของในหลวงรัชกาลที่ 9 เพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่มีต่อประชาชนชาวอีสานและชาวไทย และตามมุมห้องยังตกแต่งด้วยด้วยผ้าซิ่นไหมของคนอีสาน
อีกฝั่งของบ้านที่เชื่อมติดกันจัดแสดงครัวอีสานในอดีต อีกฟากด้านหลังห้องครัวได้ปรับเป็นมุมรับแขกโทนสีขาวเขียวและน้ำตาล ดอกพุดตูมสีขาวที่ประดับตกแต่งในบายศรีถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของพิพิธภัณฑ์ ด้วยสมัยก่อนพิธีบายศรีถือเป็นพิธีกรรมสำคัญของชาวอีสาน ส่วนที่สอง “ลานกิจกรรมพื้นทีสีเขียว” อยู่ติดกับอาคารพิพิธภัณฑ์ เป็นลานเอนกประสงค์ที่มุ่งเน้นการจัดกิจกรรมเพื่อสนับสนุนชุมชน ให้มุ่งหวังให้ชุมชนมีส่วนร่วมและสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชน เช่น เปิดพื้นที่ให้ชุมชนนำสินค้ามาจำหน่ายให้นักท่องเที่ยว เช่น งานจักสาน ผ้าทอ งานหัตถกรรมต่างๆ เปิดเวทีให้ศิลปินและนักออกแบบจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ต้องการบริการวิชาการแก่สังคม มาแลกเปลี่ยนผลงาน หรือเป็นวิทยากรแนะนำอาชีพหรือทำโครงการพัฒนาร่วมกับชมุชน นอกจากนี้ยังจัดกิจกรรมวาดภาพระบายสีกับเยาวชนหรือเด็กๆ ทิ่ติดตามพ่อแม่มาขายอาหารหรือคนที่มาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ ผลงานทั้งหมดจะถูกนำมาจัดแสดงให้ผู้เยี่ยมชมได้ชมด้วย ส่วนที่สาม “ตลาดชุมชนพอเพียง” ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์ เป็นสวนยางพาราที่ประดับประดาด้วยสุ่มไก่ เปิดพื้นที่ให้ชาวบ้านนำอาหารอีสานท้องถิ่น พืชผลทางการเกษตร มาจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยว จุดเด่นของตลาดคือ ภาพวาดศิลปะบนกำแพงสังกะสีผืนยาวที่นำเสนอเรื่องราวของวิถีผู้คนในชุมชนอีสาน เช่น ปิ้งข้าวจี่ กระโดดเล่นน้ำในคลอง เลี้ยงไก่ชน เลี้ยงควาย ยิงหนังสติ๊ก และบริเวณตลาดยังเป็นพื้นที่จัดกิจกรรมร่วมกันของชุมชน เช่น งานสงกรานต์ ตักบาตร เป็นต้น ส่วนที่สี่ “ลานศิลปะ” เป็นส่วนต่อเนื่องกับตลาด เป็นพื้นที่ยาวติดริมทุ่งนา ถูกปรับเป็นลานแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัย ผลงานที่จัดแสดงคือจักรยานเก่าที่นำมาทาสีม่วง สีประจำจังหวัดบึงกาฬ และสีเขียวซึ่งเป็นสีประจำพิพิธภัณฑ์ และประดับธงแขวนที่ดัดแปลงจากผ้าขาวม้า ติดบนไม้ไผ่แบบในวัดอีสานที่คุ้นตากันเวลามีงานบุญ ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์กำลังร่วมมือกับคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มาช่วยสร้างพื้นที่ศิลปะ โดยใช้แนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จัดทำโครงการประติมากรรมเพื่อสังคม “จากมิลานสู่บึงกาฬ” โดยนักศึกษาและคณาจารย์ในหลักสูตรประติมากรรมเพื่อสังคม ใกล้กับพิพิธภัณฑ์ มีวัดโพธิ์ศรี วัดเล็กๆ ของชุมชน ที่คุณสุทธิพงษ์ได้ปรึกษากับหลวงปู่เพื่อซ่อมแซมศาลาเอนกประสงค์และกุฏิร้างที่ปล่อยที่ไว้ ให้เป็นสถานที่เผยแพร่พุทธหัตถศิลป์อีสาน ให้นักท่องเที่ยวมาชมศิลปะในธีม “เกิด แก่ เจ็บ ตาย” ของผู้คนอีสานที่ไม่เหมือนใคร ล่าสุดพิพิธภัณฑ์ยังได้ร่วมมือกับคณะสถาปัตยกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ทำโครงการ “วาดบ้าน แปลงเมือง” โดยการวาดภาพเขียนสีตามบ้านเรืนอในตรอกซอกซอยของหมู่บ้านประมาณ 50 หลังคาเรือน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และวิถีชีวิตชุมชน
บึงโขงหลง เป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำของโลก อันดับที่ 1,098 มีชายหาดคำสมบูรณ์สำหรับการพักผ่อนหย่อนใจและเล่นน้ำ อยู่ห่างจากตัวอำเภอบึงโขงหลงเพียง 3 - 4 กิโลเมตร มีบริการร้านอาหารบริเวณรอบบึง เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ได้มีปรากฏการณ์คล้ายพญานาคเล่นน้ำในบึงโขงหลง ซึ่งสื่อมวลชนจำนวนมากได้เสนอข่าวดังกล่าว[2][3] และมีการทำนายว่า วันออกพรรษาจะมีปรากฏการณ์พญานาคเล่นน้ำในบึงโขงหลงอีกครั้ง และอาจจะเกิดปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคในบึงโขงหลง ซึ่งโดยทั่วไปบั้งไฟพญานาคจะขึ้นในแม่น้ำโขงในจังหวัดหนองคายในวันออกพรรษาของทุกปี นอกจากนั้นยังมีภูลังกาและสถานที่สวยงามบนภูหลายแห่ง เช่น เจดีย์หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล เจดีย์หลวงปู่วัง ฐิติสาโร พระแกะสลักบนหน้าผาภูลังกา น้ำตก และสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอีกหลายแห่ง ตำบลบึงโขงหลง ได้ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2525 แยกออกจากตำบลโพธิ์หมากแข้ง ที่มีชื่อว่าตำบลบึงโขงหลง เนื่องมาจากในเขตพื้นที่ตำบลนี้ มีบึงน้ำขนาดกว้างใหญ่มาก มีน้ำขังตลอดปีลักษณะเหมือนแม่น้ำโขง จึงให้ชื่อว่า"บึงโขงหลง"ซึ่งเป็นบึงน้ำที่อุดมไปด้วยปลาน้ำจืดทุกชนิดถือเป็นแหล่งน้ำที่หล่อแหล่งชีวิตเกษตรในตำบลนี้และตำบลใกล้เคียงได้ตลอดปี เพื่อให้บึงแห่งนี้เป็นเอกลักษณ์ของตำบลจึงให้ตำบลนี้ชื่อว่า "ตำบลบึงโขงหลง" จากนั้นสืบมาจนถึงปัจจุบัน ตำบลบึงโขงหลง เป็นที่ราบลุ่ม มีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ คือ อ่างเก็บน้ำบึงโขงหลง
วัดอาฮงศิลาวาส เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ตั้งอยู่ในตำบลไคสี อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ วัดอาฮงศิลาวาส แต่เดิมเรียกว่า วัดป่าเลไลย สร้างโดยหลวงพ่อลุน เมื่อหลวงพ่อมรณภาพ วัดจึงถูกทิ้งร้าง จนกระทั่งเมื่อ พ.ศ. 2517 ท่านเจ้าคุณนิเทศศาสนคุณ (หลวงพ่อมหาสมานสิริปัญโญ) ผ่านมาพบวัดที่มีสภาพสงบร่มรื่น อยู่ติดริมโขงนี้ จึงได้ทำการปฏิสังขรณ์วัด และตั้งชื่อวัดใหม่ว่า "วัดอาฮงศิลาวาส" ตามชื่อแก่งอาฮง[1] ตั้งเป็นวัดเมื่อ พ.ศ. 2480 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2548[2] วิหารประดิษฐาน พระพุทธคุวานันท์ศาสดา หล่อด้วยทองเหลือง ลักษณะคล้ายกับพระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปขนาดหน้าตักกว้าง 4 เมตร สูง 7 เมตร น้ำหนัก 20 ตัน มีความเชื่อกันว่าลำน้ำโขงในบริเวณหน้าอุโบสถของวัดเป็นจุดที่ลึกที่สุดในแม่น้ำโขง เรียกว่า "สะดือแม่น้ำโขง" เคยมีการวัดความลึกโดยใช้เชือกผูกกับก้อนหินหย่อนลงไปได้ลึกถึง 200 เมตร[3] นอกจากนี้ยังมีสวนหินที่บ่งบอกลักษณะกายภาพของพื้นที่ริมโขงเมื่อล้านปีก่อน
"แก่งอาฮง" เป็นแก่งหินธรรมชาติในลำแม่น้ำโขงที่มีความสวยงาม และผูกพันกับความเชื่อ ความศรัทธา เกี่ยวกับองค์พญานาค ซึ่งเชื่อว่า บริเวณแก่งอาฮง เป็นจุดที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขง และเป็นประตูเชื่อมโลกมนุษย์กับเมืองบาดาล ที่อยู่อาศัยของพญานาค จนมีความเชื่อกันว่า หากโยนลูกมะนาวลงไปในแก่งอาฮง ลูกมะนาวนั้น ก็จะไปขึ้นปรากฏอยู่ที่ป่าคำชะโนด อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี จนเกิดเป็นความเชื่อการเชื่อมโยงโลกมนุษย์กับเมืองบาดาลของพญานาค บริเวณแก่งอาฮง เป็นจุดหนึ่งที่เกิดปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคทุกวันออกพรรษา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี และมีนักท่องเที่ยวรวมทั้งผู้ที่มีความศรัทธาในองค์พญานาค มาท่องเที่ยวเป็นประจำตลอดทั้งปี
แก่งอาฮง หรือจุดชม “สะดือแม่น้ำโขง” ณ วัดอาฮงศิลาวาส ตำบลหอคำ เขตอำเภอเมืองบึงกาฬ ห่างจากตัวจังหวัด 21 กิโลเมตร ถือว่าเป็นจุดที่แม่น้ำโขงมีความลึกที่สุดไม่สามารถวัดความลึกได้ กระแสน้ำไหลเชี่ยวมากในฤดูน้ำหลากและมีกระแสน้ำไหลวนเป็นรูปกรวยขนาดใหญ่จัง สังเกตได้จากเมื่อมีวัสดุหรือซากไม้ขนาดใหญ่ลอยมาเมื่อถึงบริเวณนี้ สิ่งของต่างๆ จะหมุนวนอยู่ประมาณ 30 นาที จึงจะไหลต่อไป ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็น “สะดือแม่น้ำโขง” มีความกว้างประมาณ 300 เมตร
ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองบึงกาฬประมาณ 5 กิโลเมตร เป็นวัดที่มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวจังหวัดบึงกาฬและชาวจังหวัดใกล้เคียงรวมไปถึงในสปป.ลาว ที่อยู่ในลุ่มน้ำโขงแถบนี้ เมื่อเข้ามายังตัววัดจะพบกับอุโบสถเมื่อมองเข้าไปด้านในก็จะเห็นหลวงพ่อพระใหญ่ประดิษฐานอยู่ด้านในตัวอุโบสถ หลวงพ่อพระใหญ่ เป็นพระพุทธรูปรางมารวิชัย ฉาบปูน หน้าตักกว้าง 2 ศอก 1 คืบ (5 ฟตุ 4 นิ้ว) เดิมเป็นพระพุทธรูปทองสำริดที่มีความงดงาม แต่ต่อมามีการพอกปูนฉาบไว้ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นการอำพรางจากเหตุการณ์สงคราม โดยพระพุทธรูปที่เห็นในปัจจุบัน ประดิษฐาน ณ ที่เดิมนับตั้งแต่ค้นพบไม่ทำการเคลื่อนย้ายแต่อย่างใด มีเพียงการบูรณะแท่นประดิษฐานให้คงทนแข็งแรงมากขึ้น ผู้คนส่วนใหญ่ที่มาขอพร ก็มักจะได้สมหวังดังใจหมาย จนมีคนนำสีทองมาทาองค์พระให้สวยงามอย่างที่เห็นกัน และมักจุดบั้งไฟถวายกันเป็นประจำ แต่การกราบไหว้ในพระอุโบสถ สามารถเข้าได้เฉพาะผู้ชายเท่านั้น ส่วนสุภาพสตรีจะสามารถกราบไหว้ได้ที่ด้านหน้าของพระอุโบสถ หรือองค์จำลองที่ประดิษฐานอยู่ข้างพระอุโบสถ วัดโพธารามแห่งนี้มีบรรยากาศที่ร่มรื่น มีหลักธรรมคำสอนติดตามต้นไม้ไว้ให้อ่านเป็นข้อคิดเตือนใจ และพื้นที่วัดก็อยู่ติดริมแม่น้ำโขงไม่มีกำแพงวัดกั้นระหว่างวัดและแม่น้ำโขง จึงทำให้ผู้คนที่มาวัดได้เดินเที่ยวชมและยังได้รับลมเย็นๆที่พัดขึ้นมาจากฝั่งโขงยิ่งทำให้จิตใจสงบร่มเย็น
หรือน้ำตกถ้ำพระภูวัว ตั้งอยู่บริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว บ้านถ้ำพระ ตำบลโสกก่าม อำเภอเซกา จังหวัดบึงกาฬ เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ 3 ชั้น ที่ไหลอยู่บนภูเขาหินทรายขนาดใหญ่ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมความงามของน้ำตก นอกจากนี้ยังมีแอ่งน้ำขนาดใหญ่และร่องน้ำที่สามารเล่นเป็นสไลเดอร์ได้ ทำให้เล่นน้ำกันในลำธารกันได้อย่างสนุกสนาน แต่น้ำตกจะมีน้ำมากในฤดูฝนช่วงเดือนกรกฎาคม-ต้นตุลาคม เท่านั้น หากมาในช่วงเดือนอื่นน้ำค่อนข้างน้อยมากเนื่องจากน้ำตกถ้ำพระ ตั้งอยู่ในป่าจึงจำเป็นต้องจอดรถไว้ที่ท่าเรือ แล้วนั่งเรือรับจ้างของชาวบ้านเข้าไปที่ตัวน้ำตก โดยท่าเรือจะมี 2 ท่า จะเลือกขึ้นท่าเรือไหนก็ได้ เราเลือกขึ้นท่าเรือที่ 1 เพราะถึงก่อน โดยจอดรถไว้ที่บริเวณท่าเรือ เสียค่าบริการคนละ 20 บาท นั่งเรือประมาณ 15 นาทีก็มาถึงจุดเดินเท้า จากนั้นเดินต่อไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร จะถึงตัวน้ำตกถ้ำพระชั้นที่ 1
จัดขึ้นช่วง : เดือนพฤษภาคม ประเพณีบุญบั้งไฟนี้เป็นประเพณีดั้งเดิมของชาว จังหวัดบึงกาฬ เชื่อว่าเป็นประเพณีขอฝน ในช่วงฤดูฝนที่กำลังมาถึง ชาวบ้านจะแต่งตัวสีสันสดใส ร้องเพลง เต้นแห่และแบกบั้งไฟ ซึ่งบางบั้งอาจยาวถึง 9 เมตรเเละประเพณีนี้ยังเป็นการส่งเสริมประเพณีศิลปะวัฒนธรรมท้องถิ่นเเละช่วยเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดบึงกาฬ
จัดขึ้นช่วง : เดือนตุลาคม เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งของชาวอีสานที่มีมาแต่โบราณ นิยมทำกันในเทศกาลออกพรรษา ซึ่งทางจังหวัดหนองคายจะทำในคืนก่อนวันออกพรรษาหนึ่งคืน โดยการสร้างเรือจะใช้วัสดุจาก ธรรมชาติ เช่นต้นกล้วย ไม้ไผ่ ทำเป็นเเพ เเล้วมัดไม้เป็นโครงรูปร่างต่างๆ หลายขนาดบางลำยาว 10 วาิหรือ 15 วา
จัดขึ้นช่วง : เดือนตุลาคม งานประจำปีของจังหวัดในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา โดยหล่อเทียนพรรษาและประดับตกแต่งเทียน อย่างสวยงาม มีการจัดขบวนเเห่เเละการเเข่งขันประกวดความสวยงามของเทียนเเต่ละต้น
จัดขึ้นช่วง : เดือนสิงหาคม เนื่องด้วยอำเภอบึงกาฬได้เปลี่ยนสถานณะมาเป็นจังหวัดบึงกาฬในวันที่ 3 สิงหาคม พศ.2553 จึงได้จัดงานฉลองจังหวัดใหม่งานเเรก ต้นเดือน 10-12 กันยายน 2553 นี้โดยมีงานเเข่งเรือชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารีเป็นงานเฉลิมฉลอง